หู ถือเป็นอวัยวะที่สำคัญในร่างกาย ทำหน้าที่เกี่ยวกับการได้ยินเสียงและการทรงตัว หากมีความผิดปกติเกิดขึ้นที่หู นั่นหมายความว่าอาจส่งผลกระทบต่อการได้ยินเสียง และความสามารถในการทรงตัวได้ เช่น มีอาการวิงเวียนศีรษะ บ้านหมุน หูอื้อ หรือมีเสียงรบกวนในหู เป็นต้น

ปัจจุบันมีโรคต่างๆ มากมายที่เกิดขึ้นกับหูของคนเรา แต่เมื่อสำรวจจากข้อมูลแล้วพบว่า โรคที่พบได้บ่อยเกี่ยวกับหูมีทั้งหมด 4 โรค  ซึ่งเราได้รวบรวมสาเหตุ อาการ การป้องกัน และแนวทางการรักษาของแต่ละโรคไว้ให้แล้วดังต่อไปนี้

 

1. โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน

เป็นโรคที่พบได้บ่อยกับผู้ที่มีอายุประมาณ 30-60 ปี และอาจมีความรุนแรงถึงขั้นสูญเสียการได้ยินได้เลย สาเหตุในเบื้องต้นนั้นอาจเกิดจากความผิดปกติของหูชั้นใน ส่งผลให้การรับเสียง และการทรงตัวนั้นไม่สามารถทำงานได้อย่างปกติ ดังนั้นจึงทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ หูอื้อ และอาจสูญเสียการได้ยินได้ เป็นต้น

  • สาเหตุ 
    โรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งสาเหตุที่อาจก่อให้เกิดโรคน้ำในหูไม่เท่ากันได้ สามารถแบ่งออกเป็น 2 ปัจจัย คือ ปัจจัยภายใน และปัจจัยภายนอก
    • ปัจจัยภายในอาจเกิดจากโรคทางกรรมพันธุ์ ซึ่งพบได้บ่อยในครอบครัวที่มีประวัติป่วยเป็นโรคไมเกรน
    • ปัจจัยภายนอกอาจเกิดจากโรคภูมิแพ้ การติดเชื้อไวรัส การอักเสบที่หูชั้นกลางหรือหูชั้นใน ความเครียด และอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม ในบางรายก็อาจเกิดโรคน้ำในหูไม่เท่ากันขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุได้เช่นกัน
  • อาการ
    • มีอาการแน่นหู หูอื้อ
    • มีเสียงดังในหู
    • วิงเวียนศีรษะ
    • คลื่นไส้อาเจียน
    • รู้สึกมีอาการหน่วง ๆ ภายในหู
    • ได้ยินเสียงเบาลง

ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นเหล่านี้ บางครั้งก็อาจเป็นอาการแทรกซ้อนจากโรคอื่น ๆ ดังนั้นหากมีอาการดังกล่าวควรไปพบแพทย์ เพื่อค้นหาสาเหตุและรักษาอย่างถูกต้อง

  • การรักษา 
    มีหลายวิธี คือ

    • การทานยา โดยทานยารักษาตามอาการ พร้อมลดการทานอาหารที่มีรสเค็ม
    • การบำบัด
      • การใช้ท่าบริหารเพื่อฟื้นฟูระบบการทรงตัวสำหรับผู้ที่มีอาการเวียนศีรษะ หรือไม่สามารถทรงตัวได้
      • การใช้ Meniett Device ในการช่วยบรรเทาอาการเวียนศีรษะในผู้ป่วยบางราย
    • การฉีดยา โดยยาที่นิยมใช้ในการรักษามีอยู่มี 2 ชนิด คือ
      • Dexamethasone ช่วยให้ความถี่ของการเกิดอาการเวียนศีรษะลดลง ซึ่งสามารถฉีดได้ทุก ๆ 1-3 เดือน
      • Gentamycin หรือสเตียรอยด์ มีประสิทธิภาพในการรักษาที่มากกว่า แต่อาจมีผลข้างเคียงทำให้ผู้ป่วยได้ยินเสียงเบาลง
    • การผ่าตัด โดยมีทั้งการผ่าตัดกระดูกบางส่วนออก และการผ่าตัดเส้นประสาทที่เชื่อมต่อระหว่างหูชั้นในและสมอง เพื่อลดอาการวิงเวียนศีรษะ ซึ่งการผ่าตัดบางวิธีอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสูญเสียการได้ยิน
  • วิธีป้องกัน การป้องกันสามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตประจำวัน เช่น
    • การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 
    • การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 
    • ลดการดื่มแอลกอฮอล์ ชา และกาแฟ 
    • ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และดื่มน้ำเปล่า 6-8 แก้วต่อวัน

2. โรคตะกอนหินปูนในหูชั้นในหลุด

พบได้บ่อยมากในผู้ที่มีอาการวิงเวียนศีรษะ โดยเฉพาะผู้ใหญ่ ( เพศหญิง อายุ 30 – 70 ปี )

  • สาเหตุ
    • อุบัติเหตุทางศีรษะ 
    • ความเสื่อมตามวัย (มักพบในผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป) 
    • ผู้มีความเครียด และไม่ได้ออกกำลังกาย 
    • โรคเกี่ยวกับหูชั้นใน หรือการติดเชื้อต่าง ๆ 
    • การทำงานที่ต้องก้มหรือเงยหน้าอยู่บ่อย ๆ
  • อาการ
    • คลื่นไส้อาเจียน 
    • เวียนศีรษะทันทีเมื่อมีการเคลื่อนไหว
    • ดวงตาดำสองข้างกระตุกไปในทิศทางเดียวกัน
    • ไม่มีอาการหูอื้อ 
    • การได้ยินปกติ
  • การรักษา
    • การทานยา 
    • การทำกายภาพบำบัด
    • หลีกเลี่ยงกิจกรรม เช่น การปีนป่ายในที่สูง ดำน้ำลึก ขับรถยนต์ ในช่วงแรก ๆ ของการรักษา
    • เข้ารับการผ่าตัดหากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 4-6 เดือน 
  • การป้องกันไม่ให้อาการกำเริบ
    • หลีกเลี่ยงการนอนราบ ควรนอนหมอนสูง
    • หลีกเลี่ยงการนอนตะแคงข้าง (ข้างที่หูมีปัญหา)
    • ไม่ควรลุกจากที่นอนอย่างรวดเร็ว หลังตื่นนอนควรนั่งรอสักพักก่อนและค่อยๆลุกขึ้นยืนช้าๆ
    • หลีกเลี่ยงการก้ม หรือ เงยหน้าบ่อย ๆ
    • ไม่ควรออกกำลังกายที่มีการเคลื่อนไหวมาก ๆ 

3. โรคประสาทหูเสื่อม

เป็นโรคที่เกิดขึ้นที่หูชั้นใน เกิดจากเซลล์ขนภายในอวัยวะก้นหอยถูกทำลาย ทำให้ผู้ป่วยมีปัญหาในการได้ยินเสียง

  • สาเหตุ
    • สาเหตุทางพันธุกรรม มีประวัติคนในครอบครัวหูหนวก หูตึง
    • เกิดการบาดเจ็บที่ศีรษะ 
    • การสัมผัสกับเสียงดัง 
    • การเสื่อมสภาพตามวัย 
    • หูชั้นกลางอักเสบติดเชื้อเรื้อรัง ส่งผลกระทบต่อหูชั้นใน
  • อาการ
    • การได้ยินลดลง
    • ได้ยินเสียงไม่ชัดเจน 
    • ได้ยินเสียงแต่จับใจความไม่ได้
    • บางรายอาจมีอาการเสียงรบกวนในหู (Tinnitus) เช่น เสียงวี้ๆ เสียงคล้ายจิ้งหรีด หรือเสียงหึ่ง ๆ ซ่า ๆคล้ายเสียงลม เป็นต้น
  • การรักษา

ปัจจุบันมีตัวช่วยสำหรับผู้ที่มีการสูญเสียการได้ยินจากโรคประสาทหูเสื่อมหลายวิธี โดยแบ่งตามระดับความรุนแรงของการสูญเสียการได้ยิน เช่น เครื่องช่วยฟังสำหรับผู้ที่มีการสูญเสียการได้ยินในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง ประสาทหูเทียมสำหรับผู้ที่มีการสูญเสียการได้ยินในระดับรุนแรงถึงหูหนวก เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีหูชั้นกลางเทียม สำหรับผู้ที่ไม่สามารถใช้เครื่องช่วยฟังได้อีกด้วย

4. โรคหูดับฉับพลัน หรือ โรคประสาทหูเสื่อมแบบฉับพลัน

คือการสูญเสียการได้ยินที่เกิดขึ้นแบบทันทีทันใด โดยพบได้ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย โดยสามารถเกิดขึ้นได้ในผู้ที่มีอายุน้อยและวัยกลางคน ซึ่งโรคหูดับฉับพลันมักเกิดขึ้นที่หูข้างใดข้างหนึ่ง และอาจไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดได้ ซึ่งโรคนี้มีโอกาสหายเป็นปกติได้ หากรีบมาพบแพทย์ และได้รับการรักษาทันทีหลังมีอาการ

  • สาเหตุ ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่มีข้อมูลที่ชี้ให้เห็นว่าอาจเกิดจาก..
    • การติดเชื้อไวรัส 
    • การอุดตันของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหูชั้นใน 
    • การบวมน้ำของหูชั้นใน 
    • การมีรูรั่วของท่อหูชั้นใน
    • มีเนื้องอกบริเวณประสาทหู 
    • ความผิดปกติของสมอง 
  • อาการ
    • หูดับฉับพลัน ไม่ได้ยินเสียง
    • ได้ยินเสียงเบาลงในระยะเวลา 72 ชั่วโมง 
    • มีเสียงรบกวนในหู
    • มีอาการเวียนศีรษะ
  • การรักษา
    • การทานยา โดยแพทย์อาจสั่งยาลดการอักเสบ ยาขยายหลอดเลือด หรือยาบรรเทาอาการเวียนศีรษะ วิตามินบำรุงเป็นต้น
    • การนอนพัก เพื่อให้อาการบรรเทาและหายไป
    • นัดตรวจเช็กการได้ยินเป็นระยะ เพื่อประเมินผลการรักษาและติดตามผลระยะยาว


หมายเหตุ

ผู้ที่มีอาการหูดับฉับพลันควรรีบพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันที เนื่องจากหากได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและรวดเร็ว อาจมีโอกาสที่การได้ยินจะคืนกลับมาได้ดังเดิม

 

ข้อมูลจาก
scimath, chulalongkornhospital, medel, siphhospital

 

Tags

No responses yet

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *