หลังจากทราบกันไปแล้วว่ายาบางชนิดสามารถส่งผลให้การได้ยินเปลี่ยนแปลง หรือ มีปัญหาทางระบบการทรงตัวทั้งแบบชั่วคราวและแบบถาวรได้ หลายคนได้สอบถามมาว่า “แล้วจะทราบได้อย่างไรว่าเราเริ่มมีปัญหาทางการได้ยินและการทรงตัว” วันนี้ผู้เขียนจึงขอนำเสนออาการที่เกิดจากยาที่เป็นพิษต่อหูมาให้ทุกท่านทราบกันค่ะ โดยยาที่เป็นพิษต่อหูนั้นจะส่งผลต่อหูชั้นในโดยตรง ซึ่งหูชั้นในของเรานั้นมีหน้าที่ดูแลระบบการได้ยินและระบบการทรงตัว เมื่อผู้ป่วยได้รับยาที่มีมีผลต่อหู อาจมีอาการได้ดังต่อไปนี้
- ระบบการได้ยิน (Cochleotoxic)
- มีการสูญเสียการได้ยิน (Hearing loss)
การสูญเสียการได้ยินที่มีผลจากพิษของยานั้นทำให้สูญเสียการได้ยินชนิดประสาทรับฟังเสียงเสื่อม โดยจะมีการสูญเสียการได้ยินที่ความถี่สูง ผู้ป่วยมักพูดเสียงดัง และหากมีการสูญเสียการได้ยินในระดับรุนแรงเสียงพูดมักเปลี่ยนหรือพูดไม่ชัดเนื่องจากไม่ได้ยินเสียงพูดของตน
-
- มีเสียงดังรบกวนในหู (Tinnitus)
เสียงดังรบกวนในหูเป็นการได้ยินเสียงที่เสมือนว่าดังมาจากภายในหูเอง โดยที่ผู้อยู่ใกล้ๆหรือรอบข้างไม่ได้ยิน เสียงที่ผู้ป่วยมักได้ยินมักเป็นเสียงโทนสูง การเกิดนั้น มี 2 แบบ คือ แบบชั่วคราวและแบบถาวร สาเหตุจากยาที่ ทำให้เกิดเสียงดังรบกวนในหูแบบชั่วคราวที่พบได้บ่อยที่สุดคือ ยากลุ่ม salicylate โดยเฉพาะ aspirin ซึ่งโดยทั่วไปอาการสามารถกลับมาเป็นปกติได้ แต่หากใช้ในปริมาณสูงและเป็นระยะเวลานาน หรือใช้ร่วมกับยาที่มีพิษต่อหูชนิดอื่น ก็อาจเกิดความผิดปกติแบบถาวรได้
มีบางการศึกษาที่แยกกลุ่มยาที่อาจทำให้เกิดอาการเสียงดังรบกวนในหูเป็น 2 กลุ่มได้แก่
กลุ่มที่ 1 ยาที่มีพิษต่อหูโดยตรง ซึ่งทำให้เกิดอาการเสียงดังรบกวนในหู หรือประสาทรับฟังเสียงบกพร่องชั่วคราวหรือแบบถาวรในบางครั้งเช่น salicylate,NSAIDs,quinine,loop diuretic , aminoglycoside,และยาต้านมะเร็ง อาการเสียงดังรบกวนในหูเป็นอาการเตือนของโอกาสเสี่ยงที่จะมีความผิดปกติอย่างถาวรหากได้รับยาต่อไป
กลุ่มที่ 2 ไม่เกี่ยวข้องกับการทำลายของหูชั้นใน และตามปกติจะไม่ทำให้เกิดเสียงดังรบกวนในหูแบบถาวร แต่อาจเกิดเสียงดังรบกวนแบบชั่วคราวจากผลต่อสารสื่อประสาทประเภท amine ในสมอง เช่นกลุ่มยาต้านอาการซึมเศร้า ยาต้านฮิสทามีน และยากั้นเบต้า
-
- มีความลำบากในการฟังเข้าใจเสียงพูดในที่ที่มีเสียงรบกวน
เนื่องจากผู้ที่สูญเสียการได้ยินชนิดประสาทหูเสื่อมนั้นมีอัตราส่วนระหว่างเสียงพูดและเสียงรบกวน(signal to noise ratio)น้อยกว่าคนปกติ ทำให้การฟังแยกแยะเสียงพูดออกจากเสียงรบกวนเป็นไปอย่างยากลำบาก
-
- รู้สึกหูอื้อ หรือ แน่นในช่องหู ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อที่ทางเดินหายใจส่วนบน
- ระบบการทรงตัว (Vestibulotoxic)
-
- มีปัญหาเกี่ยวกับระบบการทรงตัว (Peripheral vestibular disorder)โคลงเคลง เสียศูนย์ หรือ เดินเซ ผู้ป่วยมักมีปัญหาในการยืน-เดิน เสียการทรงตัวหรือเกือบจะล้มไปด้านใดด้านหนึ่งมักมีอาการชั่วคราว ซึ่งอาจเกิดร่วมกับอาการเวียนศีรษะหมุน และมีปัญหาเกี่ยวกับลานสายตา
-
- เวียนศีรษะบ้านหมุน (Vertigo)
ผู้ป่วยมีความรู้สึกหลอนว่าตนเองมีการเคลื่อนไหว ซึ่งมักเคลื่อนไหวในเชิงหมุนหรืออาจเคลื่อนไหวในแนวตรงหรือเป็นลักษะของการพลิกตัวก็ได้ ผู้ป่วยมักจะมีอาการเวียนหมุนสิ่งแวดล้อมหมุนแต่ในความเป็นจริงทั้งตัวเราและสิ่งแวดล้อมไม่ได้หมุน
ซึ่งอาการต่างๆ เหล่านี้ สามารถปรากฏขึ้นได้หลังจากได้รับการรักษาด้วยยาเพียงครั้งเดียว
หรืออาการอาจจะเกิดขึ้นภายหลังจากที่ได้รับการรักษาเป็นระยะเวลานานเป็นวันหรือเป็นเดือน
No responses yet