เครื่องช่วยฟัง

 

ส่วนประกอบแรก ไมโครโฟน (Microphone) จะอยู่ภายใน เครื่องช่วยฟัง โดยจะทำหน้าที่รับเสียงจากภายนอก มีช่องเปิดที่ด้านนอกของตัวเครื่องเพื่อรับฟังเสียง ช่องเปิดนี้จะอยู่ด้านหน้า ด้านบน หรือด้านหลัง ขึ้นอยู่กับเครื่องช่วยฟังแต่ละชนิด โดยจะทำหน้าที่รับเสียงจากภายนอกแล้วเปลี่ยนพลังงานเสียงเป็นพลังงานไฟฟ้า

ชนิดของไมโครโฟนมี 3 ชนิด ได้แก่

ไมโครโฟนแบบใช้สนามแม่เหล็ก (Magnetic)

ไมโครโฟนแบบเซรามิค (Ceramic)

ไมโครโฟนแบบไฟฟ้า (Electret)  แต่ในปัจจุบันไมโครโฟนไฟฟ้า เป็นชนิดที่ให้ประโยชน์มากที่สุด และถูกนำมาใช้ในเครื่องช่วยฟังสมัยใหม่ทุกชนิด

ลักษณะที่ดีของไมโครโฟน ( Killion & Carlson,1974 ) มีดังนี้

  • ให้การตอบสนองดีต่อช่วงความถี่ที่กว้าง แม้แต่ที่ระดับความเข้มเสียงต่ำ
  • มีความไวน้อยต่อการสั่นสะเทือน ( Mechanical vibration )
  • มีเสียงรบกวนน้อย

ปัจจุบันเครื่องช่วยฟังได้มีการพัฒนาปรับปรุงไมโครโฟน เพื่อให้รับเฉพาะเสียงที่ต้องการ เรียก Microphone ชนิดนี้ว่า Directional Microphone จะตอบสนองต่อเสียงที่มาจากด้านหน้าได้มากกว่า และเป็นประโยชน์สำหรับการช่วยให้ผู้ที่ใช้เครื่องช่วยฟังได้ยินเสียงดีขึ้นในที่ที่มีเสียงรบกวน โดยการให้ผู้ใช้เครื่องช่วยฟังหันตำแหน่งไมโครโฟนไปยังทิศทางของเสียงที่ต้องการ และหันออกจากเสียงรบกวนที่ไม่ต้องการ

Electret microphone ทำมาจาก permanent electrically charged element (the electret) diaphragm ที่เคลือบด้วยโลหะซึ่งมีความบางมากอยู่เหนือ electret material เมื่อเสียงกระทบกับ diaphragm การสั่นสะเทือนจะทำให้เกิดการอัดไฟแบบขึ้นๆ ลงๆ ซึ่งจะถูกขยายโดย transistor ในส่วนของไมโครโฟนและถูกส่งไปยังส่วนประกอบต่อไปในเครื่องช่วยฟัง เครื่องช่วยฟังบางเครื่องจะมี telecoil (T-coil) สำหรับใช้กับโทรศัพท์ telecoil ผ่านไมโครโฟนไปโดยการนำพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าซึ่งสร้างจากโทรศัพท์หรือ induction loop และส่งตรงไปยังภาคขยายของเครื่องช่วยฟัง

 

ส่วนประกอบที่ 2 คือ เครื่องขยายเสียง (Amplifiers) ทำหน้าที่เป็นตัวขยายสัญญาณ หรือพลังงานไฟฟ้าที่ส่งมาจากไมโครโฟนให้ดังเพิ่มขึ้น การขยายสัญญาณจะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับกำลังขยาย (  Gain ) และกำลังขยายสูงสุด ( Maximum power output) ของเครื่องช่วยฟังแต่ละชนิด Amplifiers นี้จะอยู่ภายในเครื่องช่วยฟัง โดยจะมีปุ่มปรับความดัง สามารถปรับให้ดังมากหรือน้อยได้

ในเครื่องช่วยฟังยุคใหม่เครื่องขยายแบบ integrated circuit สามารถรวมอยู่บน silicon chip เพื่อความสามารถที่ดีกว่าในการปรับเปลี่ยน electroacoustic characteristic วงจรบางอย่างจะมีการเขียนชุดคำสั่งของลักษณะพิเศษเพื่อทำให้เหมาะกับความต้องการของผู้ใช้ในการฟังหลายๆ สถานการณ์ ระบบอัตโนมัติจะประกอบไปด้วยการตอบสนองของเครื่องช่วยฟังที่หลากหลายขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมของเสียงที่ไม่มีการควบคุมเองด้วยมือ ตัวขยายที่ดีขึ้นจะรวมการประมวลสัญญาณระบบดิจิตอลเข้าไปด้วย ซึ่งจะปล่อยให้มีช่วงกว้างของการเปลี่ยนแปลงสัญญาณเพื่อให้เหมาะกับความต้องการของผู้ป่วย

Basic amplifier electroacoustic performance สามารถปรับการควบคุมการใช้เฉพาะอย่างได้ โดยทั่วไปจะมีระบบควบคุมระดับเสียงและอื่นๆ เพื่อใช้ในการเปลี่ยน frequency response และ maximum output ของเครื่อง วงจรภาคขยายระดับสูงที่ขึ้นจะมีระบบควบคุมเพิ่มเติมและบางเครื่องจะมีวงจรพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการเกิดเสียงก้องหรือเสียงหอน

 

ส่วนประกอบอย่างสุดท้าย คือ ลำโพง (Receiver) ทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าที่ได้รับการขยายแล้วให้เป็นพลังงานกล และเปลี่ยนพลังงานกลเป็นพลังงานเสียง เครื่องช่วยฟังที่ทันสมัยส่วนใหญ่จะมี Receivers ภายใน    (Internal air conduction receiver) ที่เชื่อมต่อกับท่อพลาสติก  ส่งต่อไปยังส่วนนอกเครื่องช่วยฟังหรือไปยังพิมพ์หู ส่วน Receivers ภายนอก ( External air conduction receiver ) จะพบได้ในเครื่องช่วยฟังแบบกล่องด้วย  และส่งต่อไปยังพิมพ์หู สัญญาณเสียงไฟฟ้าจากภาคขยายจะทำให้ electromagnetic field รอบๆ ทเกราะหุ้มเพื่อเปลี่ยนความแรงและดึงดูดไปยัง permanent magnet ที่หุ้มจะถูกดึงดูดกับ diaphragm การเคลื่อนที่ของเกราะหุ้มจะทำให้ diaphragm สั่นสะเทือนและทำให้เกิดเสียงขึ้น Bone conduction receiver จะถูกใช้แทนเมื่อความสามารถของการใช้ air conduction receiver มีข้อกำจัด ซึ่งถูกออกแบบให้เป็นการสั่นของกะโหลก

Tags

No responses yet

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *