โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis) คือการติดเชื้อและอักเสบของเยื่อบาง ๆ รอบสมองและไขสันหลัง สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือเชื้อรา ซึ่งหากเกิดจากแบคทีเรีย อาการจะรุนแรงและอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การสูญเสียการได้ยินได้ และถือว่าเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยและอาจส่งผลให้เป็นถาวรได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว

เยื่อหุ้มสมองอักเสบทำให้สูญเสียการได้ยินได้อย่างไร?

การติดเชื้อแบคทีเรียในเยื่อหุ้มสมองสามารถแพร่กระจายได้ 2 ช่องทางดังนี้:

  1. ทางกระแสเลือด (Hematogenous spread) เชื้อแพร่กระจายผ่านหลอดเลือดเข้าสู่หูชั้นใน
  2. ทางท่อยูสเตเชียน (Eustachian tube) เชื้อแพร่จากหูชั้นกลางเข้าสู่หูชั้นใน 

โดยเมื่อเชื้อเข้าสู่หูชั้นใน จะส่งผลทำลาย:

  • เส้นประสาทสมองคู่ที่ 8 (Vestibulocochlear nerve) ซึ่งช่วยในเรื่องสมดุลของร่างกายและการได้ยิน
  • โครงสร้างภายในหูชั้นใน

ทำให้เกิดการสูญเสียการได้ยินแบบถาวร ซึ่งเป็นการสูญเสียการได้ยินชนิดประสาทรับเสียงบกพร่อง (Sensorineural Hearing Loss)  หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า “หูหนวก” หรือ “หูดับ”

สถิติและข้อมูลจากงานวิจัย

มีงานวิจัยหลายชิ้นระบุไว้ว่า:

  • ผู้ป่วยโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบที่เกิดจากเชื้อชนิดแบคทีเรีย มีความเสี่ยงเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินถาวรสูงถึง 10-30% เนื่องจากเชื้อโรคสามารถทำลายเส้นประสาทหู หรือโครงสร้างภายในหูชั้นในได้อย่างรวดเร็ว
  • เด็กเล็กหากไม่ได้รับการรักษาทันทีอาจส่งผลต่อพัฒนาการทางภาษา การเรียนรู้ และการเข้าสังคมในระยะยาว

ผลกระทบระยะยาวของการสูญเสียการได้ยินในเด็ก

การสูญเสียการได้ยินในวัยเด็กอาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการหลายด้าน หากไม่ได้รับการดูแลและฟื้นฟูอย่างเหมาะสม โดยสามารถส่งผลกระทบด้านต่างๆดังนี้ :​

  1. ผลกระทบด้านพัฒนาการทางภาษาและการสื่อสาร
  • การพูดล่าช้า
  • การออกเสียงผิดปกติ
  • ความเข้าใจภาษาลดลง
  • ทักษะการสื่อสารบกพร่อง
  1. ผลกระทบด้านการเรียนรู้และพฤติกรรม
  • ปัญหาการเข้าใจบทเรียน
  • สมาธิสั้น
  • แสดงพฤติกรรมที่ผิดปกติ
  1. ผลกระทบด้านจิตใจและสังคม
  • รู้สึกโดดเดี่ยว
  • ความมั่นใจลดลง
  • ปัญหาการปรับตัวทางสังคม

📌 หมายเหตุ: ยิ่งเกิดในเด็กเล็ก (ต่ำกว่า 2 ปี) ผลกระทบจะรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงวิกฤตของการพัฒนาภาษา

❗️คำเตือน:
หากคุณหรือบุตรหลานมีอาการ ไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะอย่างรุนแรง คอแข็ง ซึมลง หรือหมดสติ อย่ารอช้า!
ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะการรักษาอย่างรวดเร็วเป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยง สูญเสียการได้ยินถาวร และ ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงอื่นๆ

การสูญเสียการได้ยินเนื่องจากเยื่อหุ้มสมองอักเสบในผู้ใหญ่

การเกิดภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียบางชนิดอาจทำลายเส้นประสาทที่เกี่ยวข้องกับการได้ยิน ทำให้สูญเสียการได้ยินได้ โดยผู้ป่วยอาจได้ยินเพียงบางส่วนหรือไม่ได้ยินเลยทั้งหมด ส่งผลกระทบต่อ

  • การสื่อสารในชีวิตประจำวัน
  • การทำงานและอาชีพ
  • คุณภาพชีวิตโดยรวม
  • ปัญหาสุขภาพจิต

การวินิจฉัยโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

  1. การซักประวัติและตรวจร่างกาย
  • มีประวัติไข้สูง ปวดศีรษะ คอแข็ง
  • ตรวจระบบประสาท
  • ตรวจหาการอักเสบที่เยื่อหุ้มสมอง
  1. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
  • การตรวจเลือด: เพาะเชื้อเพื่อหาเชื้อก่อโรคที่ก่อให้เกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
  • การเจาะน้ำไขสันหลัง (Lumbar puncture) เพื่อประเมิน:
    • ปริมาณเม็ดเลือดขาว
    • ชนิดของเม็ดเลือดขาว
    • ระดับน้ำตาลและโปรตีน
    • การเพาะเชื้อและตรวจหาเชื้อก่อโรคที่ก่อให้เกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
  1. การถ่ายภาพสมอง
  • CT Scan 
  • MRI 

เพื่อหาการอักเสบหรือภาวะแทรกซ้อนในสมอง

  1. การตรวจการได้ยิน

ผู้ป่วยทุกรายควรได้รับการตรวจการได้ยิน:

  • ในระหว่างการรักษา
  • หลังจากหายดีแล้ว โดยควรตรวจติดตามผลการได้ยินเป็นระยะๆอย่างสม่ำเสมอ

สำหรับการตรวจการได้ยินในเด็กเล็กและทารก

ในกรณีของเด็กทารกหรือเด็กเล็กที่ยังไม่สามารถตอบสนองต่อการทดสอบทางพฤติกรรมได้ แพทย์จะใช้วิธีการตรวจคัดกรองที่เหมาะสมกับวัย ได้แก่:

  • การตรวจ OAE (Otoacoustic Emissions)
    เป็นการวัดเสียงสะท้อนที่เกิดจากเซลล์ขนในหูชั้นใน โดยใช้อุปกรณ์ขนาดเล็กปล่อยเสียงเข้าไปในช่องหู
    • ใช้เวลารวดเร็ว ไม่เจ็บ แต่ผู้ป่วยต้องอยู่นิ่งๆขณะตรวจ
    • หากผลตรวจไม่ปกติ อาจบ่งชี้ว่ามีปัญหาในการได้ยินระดับหนึ่งซึ่งจำเป็นต้องส่งตรวจอย่างอื่นเพิ่มเติมอีกเพื่อประกอบการวินิจฉัยโรค
  • การตรวจ ABR (Auditory Brainstem Response)
    เป็นการตรวจคลื่นไฟฟ้าที่สมองตอบสนองต่อเสียง โดยติดเซ็นเซอร์ที่ศีรษะและหูของเด็กเพื่อตรวจจับสัญญาณ

    • ใช้สำหรับคัดกรองหรือวินิจฉัยปัญหาการได้ยินในทารกหรือเด็กที่มีความเสี่ยง
    • มักใช้ร่วมกับ OAE เพื่อความแม่นยำในการวินิจฉัยโรค

📌 สิ่งที่ควรรู้: เด็กทารกควรได้รับการตรวจคัดกรองการได้ยินภายใน 1 เดือนหลังคลอด หากพบความผิดปกติ ควรได้รับการวินิจฉัยให้ได้ก่อนอายุ 3 เดือน และเริ่มการฟื้นฟูไม่เกิน 6 เดือน เพื่อให้เด็กมีโอกาสพัฒนาทักษะทางภาษาและการสื่อสารได้ใกล้เคียงเด็กปกติมากที่สุด

 

การรักษาโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

  1. การรักษาเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากแบคทีเรีย (เร่งด่วน)
  • ให้ยาปฏิชีวนะทางเส้นเลือดดำทันที
  • ให้ยาลดการอักเสบ
  • ควบคุมไข้และความดันโลหิต
  1. การรักษาเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากไวรัส
  • ให้ยาต้านไวรัสเฉพาะชนิด
  • การรักษาแบบประคับประคอง
  1. การรักษาเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อรา
  • ให้ยาต้านเชื้อราตามความเหมาะสม
  1. การรักษาแบบประคับประคอง
  • ให้น้ำเกลือทางเส้นเลือด
  • ลดไข้
  • ควบคุมอาการชัก
  • เฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน
  • ติดตามอาการทางระบบประสาทอย่างใกล้ชิด

การฟื้นฟูการได้ยิน

  1. การประเมินระดับการสูญเสียการได้ยิน
  • การตรวจวัดระดับการได้ยินอย่างละเอียด เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
  1. การใช้อุปกรณ์ช่วยฟัง
  • เครื่องช่วยฟัง (Hearing Aid) 
    • เหมาะสำหรับผู้ที่สูญเสียการได้ยินเล็กน้อยถึงปานกลาง
    • ช่วยขยายเสียงให้ได้ยินเสียงดังและชัดเจนขึ้น
    • มีหลายรูปแบบตามความต้องการ
  • ประสาทหูเทียม (Cochlear Implants) 
    • เหมาะสำหรับผู้ที่สูญเสียการได้ยินรุนแรงหรือหูหนวก
    • ใช้การกระตุ้นประสาทหูโดยตรงด้วยสัญญาณไฟฟ้า
    • ต้องผ่าตัดฝังอุปกรณ์
  1. การฝึกฟังและฝึกพูดควบคู่
    การฝึกฟื้นฟูสมรรถภาพการฟังและการพูดร่วมกับการใช้อุปกรณ์ช่วยฟังด้วยถือเป็นสิ่งสำคัญในการฟื้นฟูการสื่อสารของผู้ที่มีปัญหาการได้ยิน โดยเฉพาะในเด็กเนื่องจากการฝึกฟังและการฝึกพูดสามารถช่วยให้เด็กที่สูญเสียการได้ยินสามารถพัฒนาทักษะการฟังและการพูดได้ดีขึ้น 

การป้องกันหูหนวกจากโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

  1. การป้องกันเบื้องต้น (ป้องกันตั้งแต่แรก)
    การฉีดวัคซีนป้องกันเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เช่น
  • วัคซีนฮิบ หรือ Hib (Haemophilus influenzae type b)
  • วัคซีนนิวโมค็อคคัส (Pneumococcal vaccine)
  • วัคซีนเมนิงโกค็อกคัส (Meningococcal vaccine) หรือวัคซีนไข้กาฬหลังแอ่น

📌 หมายเหตุ: แม้ว่าวัคซีนยังไม่สามารถป้องกันเชื้อทุกชนิดได้ แต่สามารถช่วยลดความเสี่ยงได้มาก

  1. การดูแลเมื่อเริ่มมีอาการ
  • รู้จักอาการเตือนภัย
  • พบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการ
  • ไม่รอช้าในการเข้ารับการรักษา เพราะการรักษาเร็วสามารถลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนได้
  1. การติดตามและฟื้นฟูหลังป่วย
  • ตรวจการได้ยินสม่ำเสมอ
  • ฟื้นฟูสมรรถภาพการได้ยินตามคำแนะนำแพทย์

คำแนะนำในการดูแลการได้ยิน

  • สำหรับผู้ป่วยที่เคยเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
    • ตรวจการได้ยินสม่ำเสมอ ทุก 6-12 เดือน
    • สังเกตอาการเปลี่ยนแปลงทางการได้ยิน
    • ใช้อุปกรณ์ช่วยฟังตามที่แพทย์แนะนำ
    • เข้าร่วมโปรแกรมฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง
  • สำหรับผู้ปกครองของเด็กที่เคยป่วยเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
    • พาเด็กไปรับวัคซีนให้ครบตามกำหนด
    • สังเกตพัฒนาการทางภาษาของลูก
    • พาลูกไปตรวจการได้ยินหากมีพฤติกรรมน่าสงสัย
    • หาความรู้เกี่ยวกับการฟื้นฟูหลังป่วย

ป้องกันวันนี้ ดีกว่ารักษาทีหลัง

โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นภาวะที่ไม่ควรมองข้าม การรู้เท่าทันโรคสามารถช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยการปฏิบัติตัวดังนี้

  • รักษาสุขอนามัย
  • การดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐาน 
  • การรับวัคซีนให้ครบตามกำหนด
  • การสังเกตอาการผิดปกติของร่างกาย 

ควรรีบพบแพทย์เมื่อตรวจพบอาการผิดปกติเพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที สามารถช่วยปกป้องการได้ยินและสุขภาพของเราในระยะยาวได้

❗️คำเตือน: หากคุณหรือบุตรหลานมีอาการไข้สูงทันที ปวดศีรษะอย่างรุนแรง คอแข็ง หรือซึมลงอย่างรวดเร็ว อย่ารอช้า ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะการรักษาเร็วคือกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงสูญเสียการได้ยินถาวรและภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงอื่นๆ

 

หมายเหตุ: บทความนี้เป็นข้อมูลเพื่อการศึกษาเท่านั้น หากมีอาการสงสัย กรุณาปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง

 

สำหรับท่านใดที่ยังไม่เคยอ่านบทความตอนแรก ซึ่งเราได้พูดเกี่ยวกับ:
📌 เยื่อหุ้มสมองอักเสบคืออะไร?
📌 โรคนี้เกิดจากสาเหตุใด?
📌 ใครที่มีความเสี่ยงกับโรคนี้บ้าง?
อ่านตอนที่ 1 คลิกเลย

แหล่งอ้างอิง

World Health Organization (WHO)-Meningitis
World Health Organization (WHO)-Meningitis-Fact-Sheets
World Health Organization (WHO)-World report on hearing
Centers for Disease Control and Prevention (CDC)-meningitis
Centers for Disease Control and Prevention (CDC)-hearing-loss-children
Mayo Clinic – Meningitis Symptoms and Causes
AAP Publications
RAMA Channel
JAMA Network

Tags

No responses yet

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *