“โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis)”  เป็นโรคที่เกิดขึ้นได้กับทุกวัยและเป็นภาวะที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน หากผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที จะช่วยลดความรุนแรงของโรคและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ ภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียบางชนิดอาจทำลายเส้นประสาทการได้ยินทำให้ผู้ป่วยสูญเสียการได้ยินได้ 

ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียเป็นโรคที่รุนแรงและอาจนำไปสู่การเสียชีวิตหรือภาวะแทรกซ้อนระยะยาวได้ แม้จะได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที แต่อัตราการเสียชีวิตภายใน 24–48 ชั่วโมง หลังเริ่มมีอาการ ยังอยู่ที่ประมาณ 5–10% 

ในผู้รอดชีวิต โดยเฉพาะ เด็กเล็ก อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ เช่น การสูญเสียการได้ยินชนิดประสาทการรับเสียงเสื่อม (sensorineural hearing loss) ซึ่งมีรายงานอัตราการเกิด อยู่ระหว่าง 5% ถึง 35% ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อแบคทีเรียและความรุนแรงของโรค

โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบคืออะไร?

เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (meningitis) เป็นภาวะที่เกิดจากการอักเสบของเยื่อบาง ๆ ที่หุ้มสมองที่ต่อเนื่องไปยังไขสันหลัง การอักเสบนี้อาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา หรือจากสาเหตุอื่น ๆ 

หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง เช่น

  • สมองอักเสบ
  • ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด
  • เกิดการสูญเสียการได้ยิน ได้แก่ ภาวะสูญเสียการได้ยินแบบเฉียบพลัน การอักเสบในหูชั้นใน เกิดความเสียหายต่อเส้นประสาทหู ( Sensorineural Hearing Loss)

สาเหตุของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

1. เชื้อแบคทีเรีย (Bacterial Meningitis)

เป็นชนิดที่รุนแรงและอันตรายมากที่สุด สามารถทำให้เสียชีวิตหรือพิการถาวรได้หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที เชื้อที่พบบ่อย เช่น:

  • Streptococcus pneumoniae
  • Neisseria meningitidis
  • Haemophilus influenzae type b (Hib)

ซึ่งเชื้อแบคทีเรียเหล่านี้สามารถแพร่เข้าสู่หูชั้นกลาง และลามไปยังเยื่อหุ้มสมอง ทำให้เกิดอาการอักเสบ และนำไปสู่ “การสูญเสียการได้ยิน” ได้

2. เชื้อไวรัส (Viral Meningitis)

มักมีอาการไม่รุนแรงเท่าเชื้อแบคทีเรีย แต่อาจส่งผลต่อระบบประสาทการได้ยิน เช่น หูอื้อ หรือภาวะการได้ยินลดลงในบางราย

3. สาเหตุอื่น ๆ

  • เชื้อรา (เช่น Cryptococcus) – พบในผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ป่วยโรคเอดส์ หรือผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน
  • พยาธิ หรือปรสิตบางชนิด
  • โรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง (Autoimmune diseases)
  • มะเร็ง
  • ยาบางชนิด

โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบเกิดขึ้นได้บ่อยกับใคร?

ไม่ว่าใครก็สามารถเป็น โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ได้ แต่กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงและเกิดขึ้นได้บ่อยกว่าคนทั่วไป ได้แก่:

1. ทารกและเด็กเล็ก

เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของเด็กยังพัฒนาไม่เต็มที่ ทำให้มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้ง่าย โดยเฉพาะในเด็กที่ยังรับวัคซีนไม่ครบ

2. ผู้ที่อยู่ในสถานที่แออัด

เช่น นักเรียนในหอพัก นักศึกษามหาวิทยาลัย หรือทหารที่อยู่รวมกัน เนื่องจากเชื้อสามารถแพร่กระจายผ่านทางน้ำลาย การไอ จาม หรือสัมผัสใกล้ชิด

3. ผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน

กลุ่มที่ยังไม่ได้รับวัคซีนป้องกัน Hib, Pneumococcus หรือ Meningococcus จะมีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป

4. ผู้มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ

เช่น ผู้ป่วยโรคเอดส์ ผู้ที่ได้รับเคมีบำบัด หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน

5. ผู้สูงอายุ

เมื่ออายุมากขึ้น ภูมิคุ้มกันในร่างกายจะลดลง ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อที่ลุกลามเข้าสู่สมองและไขสันหลังได้มากขึ้น

อาการที่ควรเฝ้าระวัง

อาการของเยื่อหุ้มสมองอักเสบอาจแตกต่างกันไป ตามชนิดของเชื้อที่เป็นสาเหตุ อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่

  • มีไข้สูง หนาวสั่น
  • ปวดศีรษะรุนแรง
  • คอแข็ง เคลื่อนไหวศีรษะลำบาก
  • สับสน มึนงง หรือหมดสติ
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • เบื่ออาหาร
  • ชัก
  • ในทารกอาจมีอาการงอแง ร้องไห้ผิดปกติ ง่วงซึม กินน้อย หรือกระหม่อมโป่งตึง

หากมีอาการดังที่กล่าวนี้เกิดขึ้น ควรรีบพบแพทย์ทันที

หากโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง ซึ่งบางครั้งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อที่เป็นสาเหตุ ความรุนแรงของโรค และความรวดเร็วในการเข้ารับการรักษา

อาการแทรกซ้อนของเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

1. สูญเสียการได้ยิน

เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียบางชนิดอาจทำลายเส้นประสาทที่เกี่ยวข้องกับการได้ยิน ทำให้สูญเสียการได้ยิน

2. เนื้อสมองอักเสบ

การอักเสบของเยื่อหุ้มสมองอาจลุกลามสู่เนื้อสมอง สร้างความเสียหายแก่ระบบประสาทจนส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหว ความจำ การเรียนรู้ กล้ามเนื้ออ่อนแรง สูญเสียการควบคุมกล้ามเนื้อ 

3. ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด

เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียบางชนิด สามารถแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือดได้ ทำให้เกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะช็อกหรืออวัยวะต่างๆหยุดทำงาน

4. ปัญหาด้านพฤติกรรมและพัฒนาการล่าช้าในเด็ก

ในเด็กเล็กที่เคยเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบ อาจพบปัญหาด้านพฤติกรรม เช่น สมาธิสั้น มีปัญหาในการเรียนรู้ หรือมีพัฒนาการที่ช้ากว่าเด็กปกติ

5. ภาวะชักและโรคลมชัก

บางรายที่เนื้อสมองได้รับความเสียหายจากการอักเสบ อาจพัฒนาไปเป็นโรคลมชักที่มีอาการชักเรื้อรัง จำเป็นต้องได้รับการรักษาและดูแลต่อเนื่อง

6. เสียชีวิต

ในกรณีที่รุนแรง เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจทำให้เกิดภาวะติดเชื้อรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

การรักษาโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

1. การรักษาเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากแบคทีเรีย (เร่งด่วน)

  • ยาปฏิชีวนะทางเส้นเลือดดำ ให้ทันที
  • ยาลดการอักเสบ
  • ควบคุมไข้และความดันโลหิต

2. การรักษาเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากไวรัส

  • ยาต้านไวรัสเฉพาะชนิด
  • การรักษาแบบประคับประคอง

3. การรักษาเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อรา

  • ยาต้านเชื้อราตามความเหมาะสม

4. การรักษาแบบประคับประคอง

  • ให้น้ำเกลือทางเส้นเลือด
  • ลดไข้
  • ควบคุมอาการชัก
  • เฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน
  • ติดตามอาการทางระบบประสาทอย่างใกล้ชิด

วิธีป้องกันโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

1. ฉีดวัคซีน (วิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด)

  • วัคซีนฮิบ หรือ Hib (Haemophilus influenzae type b)
  • วัคซีนนิวโมค็อคคัส (Pneumococcal vaccine)
  • วัคซีนเมนิงโกค็อกคัส (Meningococcal vaccine) หรือวัคซีนไข้กาฬหลังแอ่น

หมายเหตุ: ยังไม่มีวัคซีนที่สามารถป้องกันเชื้อได้ครบทุกชนิด

2. รักษาสุขอนามัย

  • ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์
  • หลีกเลี่ยงใช้ของร่วมกัน เช่น แก้วน้ำ ขวดน้ำ ช้อน ส้อม แปรงสีฟัน เนื่องจากเชื้อบางชนิดอาจติดต่อผ่านทางน้ำลาย
  • สวมหน้ากากอนามัย เมื่อต้องอยู่ในที่แออัดหรือเมื่อต้องอยู่ร่วมกับผู้ป่วย

3. เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

  • กินอาหารที่มีประโยชน์ ให้ครบ 5 หมู่
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • นอนหลับเพียงพอ (7-8 ชั่วโมงต่อคืน)
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์

4. หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด

เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียบางชนิดสามารถแพร่กระจายในที่ที่มีคนจำนวนมาก เช่น หอพัก ค่ายทหาร หรือโรงเรียน หากจำเป็นต้องอยู่ในพื้นที่แออัด ควรสวมหน้ากากอนามัยและรักษาระยะห่างจากผู้อื่น

5. รู้จักอาการและรีบพบแพทย์

  • สังเกตอาการตั้งแต่ระยะแรก
  • หากมีไข้สูง ปวดศีรษะรุนแรง คอแข็ง หรือรู้สึกมึนงงผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์ทันที

อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ “โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ” เป็นโรคร้ายแรงที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกวัย โดยเฉพาะชนิดที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย อาจนำไปสู่การสูญเสียการได้ยินถาวร หรือเสียชีวิตได้

แต่โรคนี้สามารถป้องกันได้ด้วยวิธีการเหล่านี้:

✅ ฉีดวัคซีนครบถ้วน
✅ รักษาสุขอนามัยที่ดี
✅ เฝ้าระวังอาการอย่างใกล้ชิด
✅ รีบรักษาเมื่อสงสัยว่าป่วย

💡 ข้อสำคัญ: การป้องกันดีกว่าการรักษา โดยเฉพาะกับโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบที่อาจส่งผลถึงชีวิตหรือการสูญเสียการได้ยินแบบถาวร การได้รับวัคซีนและสังเกตอาการตั้งแต่แรกเริ่ม คือกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยง

หมายเหตุ: บทความนี้เป็นข้อมูลเพื่อการศึกษาเท่านั้น หากมีอาการที่น่าสงสัย กรุณาปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง

 

แหล่งอ้างอิง
World Health Organization (WHO)-Meningitis
World Health Organization (WHO)-Meningitis-Fact-Sheets
World Health Organization (WHO)-World report on hearing
Centers for Disease Control and Prevention (CDC)-meningitis
Centers for Disease Control and Prevention (CDC)-hearing-loss-children
Mayo Clinic – Meningitis Symptoms and Causes
AAP Publications
RAMA Channel
JAMA Network

Tags

No responses yet

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *