เนื่องจากเทคโนโลยีในปัจจุบันมีความก้าวหน้าเป็นอย่างมากการตรวจหาความผิดปกติอวัยวะภายในต่างๆ บนร่างกาย และมีการใส่อวัยวะเทียมเช่น ประสาทหูเทียม ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งวิธีในการตรวจนั้นมี
- การตรวจ CT Scan (Computerized Tomography Scan) และ
- การตรวจ MRI (Magnetic Resonance Imaging)
รู้จักกับ CT Scan และ MRI
- CT Scan คืออะไร?
เป็นการตรวจที่มีความซับซ้อน และละเอียดมากกว่าการ X-ray แบบธรรมดา โดยแพทย์จะฉายรังสีเอกซเรย์ไปยังบริเวณที่ต้องการตรวจบนร่างกาย เพื่อดูอวัยวะภายใน และทำการตรวจวินิจฉัยโรคหรือติดตามโรคเป็นระยะๆ ซึ่งจะแสดงเป็นภาพ 3 มิติ ที่สามารถมองเห็นอวัยวะภายในร่างกายได้เกือบทุกส่วน - MRI คืออะไร?
เป็นการตรวจร่างกายโดยใช้เครื่องตรวจคลื่นสนามแม่เหล็กความเข้มสูง และคลื่นความถี่ในย่านความถี่วิทยุ ด้วยการส่งคลื่นความถี่เข้าสู่ร่างกาย และรับคลื่นสะท้อนกลับ นำมาประมวลผลและสร้างภาพเสมือนจริงของอวัยวะภายในต่าง ๆ ของร่างกาย ด้วยคอมพิวเตอร์ ทำให้แพทย์สามารถมองเห็นจุดที่ผิดปกติในร่างกายได้อย่างละเอียด สามารถตรวจวินิจฉัยรอยโรคได้อย่างตรงจุดมากขึ้น ซึ่งการตรวจแบบ MRI จะมีความละเอียดมากกว่าการตรวจ CT Scan และเป็นวิธีที่ไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวกับผู้ป่วย
เปรียบเทียบข้อแตกต่างของ CT Scan และ MRI
- CT Scan ต้องใช้รังสี แต่ MRI ใช้การสร้างสนามแม่เหล็กไฟฟ้า
การตรวจ CT Scan เป็นการปล่อยลำแสง X-ray ผ่านลำตัวผู้รับการตรวจ เพื่อให้เกิดเงาภาพบนฉากที่รองรับลำแสงที่อยู่อีกด้านหนึ่งของลำตัว
ส่วน MRI เป็นการสร้างสนามแม่เหล็กไฟฟ้ารอบตัวผู้รับการตรวจ โดยตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของพลังงานในสนามแม่เหล็กนั้น ในปัจจุบันยังไม่พบว่าการตรวจแบบ MRI มีผลกระทบกับสุขภาพดังนั้นการตรวจ MRI จึงมีความปลอดภัยมากกว่าการตรวจ CT Scan โดยเฉพาะสตรีที่ตั้งครรภ์ก็สามารถเข้ารับการตรวจแบบ MRI ได้ - MRI เหมาะกับการตรวจเนื้อเยื่ออ่อน แต่ CT Scan เหมาะกับการตรวจกระดูก
การตรวจ MRI เป็นการตรวจจับการเคลื่อนที่ของโปรตอนของน้ำ ดังนั้นอวัยวะที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบมาก เช่น เนื้อเยื่ออ่อน กล้ามเนื้อ หลอดเลือด เนื้อสมอง เป็นต้น ก็จะสร้างสัญญาณให้ตรวจจับได้ดีกว่ากระดูก ที่แทบจะไม่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ ดังนั้นหากต้องการวินิจฉัยโรคที่เกี่ยวกับกระดูก จึงควรเลือกตรวจด้วย CT Scan - CT Scan ใช้เวลาในการตรวจสั้นกว่า MRI
เครื่องตรวจ CT Scan การปล่อยลำแสง พร้อมหมุนรอบตัวผู้รับการตรวจ มักใช้เวลาไม่เกิน 10-15 นาทีเท่านั้นการตรวจ MRI ใช้เวลานานมากกว่า CT Scan บางครั้งอาจนานถึง 1 ชั่วโมง ซึ่งอาจเป็นปัญหาสำหรับบางคนที่กลัวการอยู่ในที่แคบ (Claustrophobia)
การตรวจ MRI สารเพิ่มความชัดของภาพจะเป็น Gadolinium ไม่ได้มีไอโอดีน (Iodine) จึงไม่เป็นพิษกับไต อย่างไรก็ตาม สารที่ใช้ในการตรวจ MRI ก็อาจทำให้เกิดความผิดปกติทางผิวหนังในระยะยาวได้ ซึ่งเรียกว่า Nephrogenic systemic fibrosis โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยที่มีการทำงานของไต ที่วัดค่า Glomerular Filtration Rate (GFR) ได้น้อยกว่า 30 มล./นาที - โลหะเป็นของต้องห้ามสำหรับ MRI
หากคุณมีโลหะในตัวแล้วตรวจแบบ CT Scan สามารถทำได้แต่ภาพที่ได้จะอาจมีความเบลออยู่บ้าง เนื่องจากโลหะมักจะทึบและลำแสง X-ray ผ่านไม่ได้จึงมักภาพเงาบริเวณใกล้ๆ กับโลหะการตรวจ MRI ผู้รับการตรวจจะต้องเข้าไปอยู่ในสนามแม่เหล็กขนาดใหญ่ หากมีโลหะทั้งภายในและภายนอกร่างกาย เข้าไปอยู่ในสนามแม่เหล็กนั้นด้วย ก็อาจทำให้เกิดการเคลื่อนที่ และเป็นอันตรายได้ ดังนั้นจึงต้องนำโลหะออกก่อนเข้าตรวจ MRI เช่น กิ๊บ กุญแจ ฟันปลอมถอดได้ ชิปต่าง ๆ นาฬิกา ปากการวมไปถึงผู้ใช้งานประสาทหูเทียมที่มีแม่เหล็กอยู่ที่อุปกรณ์ฝังภายในศีรษะก็อาจจะต้องนำแม่เหล็กออกก่อนทำ MRI ด้วยเช่นกัน ซึ่งหากว่าตอนนี้คุณกำลังใช้เครื่องประสาทหูเทียมของ MED-EL อยู่ ก็ไม่มีอะไรที่ต้องกังวล เพราะผู้ใช้งานประสาทหูเทียม MED-EL ทั้งหมด สามารถทำ MRI ได้ที่ 1.5 Tesla ซึ่งเป็นการสแกนที่มีความละเอียดต่ำ และหากว่าเป็นการใช้งานประสาทหูเทียมรุ่นล่าสุดของเรา ได้แก่ รุ่น SYNCHRONY และ SYNCHROY ST คุณจะสามารถเข้ารับการสแกน MRI ได้สูงสุดถึง 3.0 Tesla ซึ่งเป็นการสแกนที่มีความละเอียดสูงได้โดยไม่ต้องผ่าตัดเอาแม่เหล็กออก
นอกจากนี้หากคุณเป็นผู้ใช้งาน BONEBRIDGE หรือ VIBRANT SOUNDBRIDGE รุ่นล่าสุดคุณสามารถทำ MRI ที่ 1.5 Tesla ได้เช่นกัน
- ข้อจำกัดในการตรวจ MRI กับ CT Scan
การตรวจ CT Scan เป็นการตรวจหาความผิดปกติของอวัยวะส่วนต่างๆ โดยต้องมีการฉีดสารทึบแสงให้กับผู้ป่วยเพื่อเพิ่มความชัดเจนของภาพ ซึ่งสารชนิดนี้มักมีส่วนประกอบของไอโอดีน (Iodine) ซึ่งมีโอกาสทำให้เกิดพิษกับไตได้ ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษสำหรับผู้ป่วยที่มีโรคไตอยู่ก่อนแล้วนอกจากนี้การใช้สารทึบรังสี ก็อาจเกิดโอกาสแพ้ได้ในผู้ป่วยสูงอายุ ผู้ป่วยโรคไต ผู้ป่วยโรคหัวใจ ผู้ป่วยสตรีที่ตั้งครรภ์ และเด็กการตรวจ MRI ไม่เหมาะกับผู้ป่วยที่เคยผ่าตัดติดตั้งอุปกรณ์ทางการแพทย์ หรือโลหะภายในร่างกายบางชนิด เช่น
- ผู้ที่ผ่าตัดใส่เครื่องกระตุ้นการทำงานของหัวใจให้เป็นจังหวะ
- ผู้ที่ผ่าตัดคลิปอุดหลอดโลหิต (aneurysm clips)
- ผู้ที่ผ่าตัดฝังอวัยวะเทียมภายในหู (ear implants) และ
- ผู้ที่มีโลหะต่างๆ ภายในร่างกาย เช่น ข้อเทียมต่างๆ หรือ โลหะดามกระดูก
ดังที่กล่าวไปในข้อที่ 5 ว่าหากบุคคลที่กล่าวมาเข้าไปในสนามแม่เหล็ก ก็อาจทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ป่วยได้
ข้อมูลจาก
Paolohospital
PhyathaiHospital
No responses yet