น้ำในหูไม่เท่ากัน

น้ำในหูไม่เท่ากัน

เคยไหม เวียนหัวจนบ้านหมุน หรืออาการบ้านหมุน ที่หลายคนเคยได้ยิน แต่เพื่อน ๆ ทราบหรือไม่ว่า อาการเหล่านี้เป็นสาเหตุส่วนหนึ่งของโรค “น้ำในหูไม่เท่ากัน” แล้วโรคน้ำในหูไม่เท่ากันเนี่ย มันคืออะไรล่ะ ? วันนี้ hearLIFE พาทุกท่านไปค้นหาสาเหตุของโรค วิธีป้องกัน และการรักษา เพื่อเตรียมรับมือกับโรคดังกล่าว 

น้ำในหูไม่เท่ากัน คืออะไร ?

โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน มีชื่อเรียกทางการแพทย์ว่า โรคเมเนียร์ (Meniere’s disease) เกิดจากความดันน้ำในหูชั้นในที่เพิ่มขึ้น ส่งผลต่อการทำงานของเซลล์ประสาทที่มีหน้าที่รับเสียงที่อยู่ในหูชั้นใน และควบคุมการทรงตัวเกิดความผิดปกติ ก่อให้เกิดอาการดังนี้

  • วิงเวียนศีรษะ 
    • ผู้ป่วยในบางรายจะมีอาการเวียนหัวอย่างรุนแรง อาการสามารถอยู่ได้นานเป็นชั่วโมง 
  • คลื่นไส้, อาเจียน
    • บางครั้งจะมีการคลื่นไส้ อาเจียน เกิดจากร่างกายที่สูญเสียความสมดุล ทำให้เซ ล้มได้ง่าย
  • หูอื้อ
    • มีอาการหูอื้อ ได้ยินไม่ชัด รู้สึกแน่น ๆ ในหู ทำให้ได้ยินเสียงเบาลง 
  • มีเสียงดังในหู 
    • มีเสียงรบกวนเช่น เสียงวิ้งในหู มีอาการหน่วง ๆ ในหู

น้ำในหูไม่เท่ากัน

สาเหตุของอาการ

ในปัจจุบันโรค น้ำในหูไม่เท่ากัน ยังไม่เป็นที่ทราบโดยแน่ชัดว่าสาเหตุของโรคเกิดขึ้นจากอะไร เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่สามารถทำให้เกิดโรคดังกล่าวได้ ดังนี้

  • กรรมพันธุ์
    • โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน มักจะพบได้บ่อยในครอบครัวที่เป็นไมเกรน หรือมีความผิดปกติที่หูชั้นใน
  • การติดเชื้อไวรัส
    • เกิดได้จากการที่หูชั้นกลาง หูชั้นในเกิดการอักเสบ
  • เกิดจากโรค
    • เช่น โรคภูมิแพ้ ไขมันในเลือดสูง และโรคไทรอยด์ เป็นต้น

ทั้งนี้ ยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกเช่น เกิดความเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน การพักผ่อนไม่เพียงพอ และการรับประทานอาหารที่มีโซเดียมสูง รสเค็มจัด เป็นต้น 

** เมื่อป่วยเป็นโรค น้ำในหูไม่เท่ากัน ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เช่น หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มจัด หลีกเลี่ยงคาเฟอีน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รับประทานอาหารให้ครบห้าหมู่ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พยายามลดความเครียด และลดความวิตกกังวล **

มีวิธีการในการรักษา น้ำในหูไม่เท่ากัน อย่างไรบ้าง ?

โดยเบื้องต้น แพทย์จะประเมินอาการ และรักษาตามความรุนแรงของอาการที่ปรากฏ เช่น 

  • หากผู้ป่วยมีอาการที่ไม่รุนแรง แพทย์จะแนะนำให้พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ  และผ่อนคลายความเครียดลง
  • หากผู้ป่วยมีอาการที่รุนแรงขึ้น จะมีการให้รับประทานยา เช่น ยาขับปัสสาวะ เพื่อลดการบวม และการคั่งของน้ำในหูชั้นใน ยาขยายหลอดเลือด เพื่อช่วยให้การไหลเวียนของน้ำในหูดีขึ้น
  • การฉีดยา แพทย์จะฉีดยาเข้าไปที่หูชั้นในโดยตรง เพื่อทำการรักษา โดยจะฉีดยาเข้าไปทำลายเซลล์ที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ หลังจากเซลล์ตายลงอาการก็จะหายเป็นปกติ โดยไม่ต้องเข้ารับการผ่าตัด
  • สุดท้าย หากผู้ป่วยยังมีอาการเวียนศีรษะไม่หาย รักษาด้วยวิธีต่าง ๆ แล้วยังไม่ดีขึ้น จะต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อระบายน้ำที่คั่งอยู่ในหูชั้นในออก

ในปัจจุบันมียาที่สามารถรักษาโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน จากความสำเร็จการทดลองล่าสุด โดยบริษัท Sound Pharmaceuticals (ประกาศเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2567) สำหรับ SPI-1005 เป็นยาตัวเดียวที่มีศักยภาพในการรักษาการสูญเสียการได้ยิน และอาการหูอื้อ ของผู้ป่วยที่สามารถเกิดขึ้นได้จากการเป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน

บริษัท Sound Pharmaceuticals เป็นบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพเอกชน ที่กำลังทดสอบ SPI-1005 ซึ่งได้รับทุนร่วมจาก CF Foundation และผู้ป่วยที่ปลูกฝังผ่าตัดประสาทหูเทียม ซึ่งได้รับทุนร่วมจาก MED-LE สามารถอ่านข้อมูลและรายละเอียดการทดลองเพิ่มเติมได้ที่ Soundpharma

ก็จบกันไปแล้วนะครับกับเรื่องโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน เป็นหนึ่งในโรคที่หากเราปล่อยไว้อาจทำให้ส่งผลต่อการสูญเสียการได้ยินของเรา ทำให้เราได้ยินเสียงลดลง ดังนั้น ควรรีบพบแพทย์ทันที เพื่อวินิจฉัยประเมินอาการ เพื่อรักษาได้อย่างทันท่วงที 

หากท่านใดสนใจอยากปรึกษาเกี่ยวกับ เครื่องช่วยฟัง ประสาทหูเทียม สามารถติดต่อมาได้ที่ hearLIFE เรามีผลิตภัณฑ์ที่พร้อมรองรับทุกปัญหาการได้ยิน และทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแก้ไขปัญหาการได้ยินที่พร้อมให้คำปรึกษา และบริการ 

สามารถอ่านบทความเกี่ยวกับโรคหูเพิ่มเติมได้ที่ บทความ

image by Freepik

Line Official : @hearlifeth

Facebook: https://www.m.me/hearlifethai

หรือโทร 02-693-9411

 

Tags

No responses yet

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *