การตรวจคัดกรองการได้ยินในทารกแรกเกิดไม่ใช่งานใหม่ในทางการแพทย์ มีรายงานผลงานวิจัยเริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ.1990 และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีความพยายามพัฒนาให้เป็นรูปแบบที่เป็นมาตรฐาน และเป็นงานบริการใหม่ โดยตั้งเป้าประสงค์ให้สามารถตรวจคัดกรองการได้ยินในทารกแรกเกิดให้ครอบคลุมปริมาณทารกแรกเกิดให้มากที่สุด ถึงร้อยละ 95 ของทารกแรกเกิดมีชีพทั้งหมด

การตรวจคัดกรองการได้ยินในทารกแรกเกิดเป็นกระบวนการต่อเนื่องในระบบการให้บริการสาธารณสุขของสถานบริการใดใด ซึ่งจะต้องกระทำโดยทีมบุคลากร และรับความช่วยเหลือจากผู้บริหาร รวมทั้งต้องได้รับความร่วมมือจากผู้ปกครองของเด็ก ซึ่งในกระบวนการจะต้องมีข้อตกลงล่วงหน้าบางประการ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ ตรงตามมาตรฐาน และเกิดประโยชน์แก่ประชาชน และระบบสาธารณสุขโดยรวม อาจแบ่งการตรวจคัดกรองการได้ยินในทารกแรกเกิดเป็น 2 ลักษณะ คือ

  1. แบบครอบคลุม Universal newborn hearing screening-UNHS
  2. เฉพาะทารกกลุ่มเสี่ยง High-risk hearing screening

ทั้งสองแบบมีความแตกต่างกันในระเบียบวิธีการด้านสถิติ คำนิยาม ซึ่งแบบครอบคลุมจะต้องตรวจทารกแรกเกิดทุกราย หรือตรวจให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้หรือให้เกินร้อยละ 95 ของทารกแรกเกิดทั้งหมด ซึ่งขึ้นกับวัตถุประสงค์ของโครงการที่ตกลงกันไว้ และขึ้นกับศักยภาพของสถานบริการนั้นจะกระทำได้ อย่างไรก็ตาม การใช้เกณฑ์ในการตรวจคัดกรองการได้ยิน เฉพาะทารกกลุ่มเสี่ยง จะสามารถตรวจพบความผิดปกติของเด็กทารกที่มีปัญหาการได้ยินเพียง ร้อยละ 50 เท่านั้น

แม้ว่าอัตราการเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินทารกกลุ่มเสี่ยง หรือกลุ่มที่มาจากหน่วยบริบาลทารกวิกฤต (NICU) จะพบได้สูงกว่า ในทารกปกติถึง 10-20 เท่า แต่ทารกกลุ่มเสี่ยงที่มีภาวะสูญเสียการได้ยินนี้ มักจะมีความผิดปกติอื่นร่วมอยู่ด้วยสูงถึงร้อยละ 66  เป็นสาเหตุที่ทำให้การฟื้นฟูสมรรถภาพด้านการได้ยิน ด้านภาษาและการพูดถูกพัฒนาได้ไม่ดีเท่าเด็กที่มีภาวะสูญเสียการได้ยินเพียงอย่างเดียว

UNHS ได้รับการยอมรับ และแนะนำโดย The National Institute of Health (1993), Joint Committee on Infant Hearing (1994), The American Academy of Pediatrics (1994), The European Consensus Development Conference (1998)

สำหรับข้อเสนอแนะนำและแนวปฎิบัติโดยคณะกรรมการได้ยินในทารกที่กำหนดไว้ในปี ค.ศ.2000 สำหรับการดำเนินงานในโครงการตรวจคัดกรองการได้ยินในทารกแรกเกิดแบบครอบคลุมที่มีฐานอยู่ในโรงพยาบาล (Hospital Based) มีการเปรียบเทียบคุณภาพ (Benchmark) ในหัวข้อต่อไปนี้

การเปรียบเทียบคุณภาพในโรงพยาบาลในโครงการตรวจคัดกรองการได้ยินในทารกแรกเกิดแบบครอบคลุม (UNHS)

  1. ภายใน 6 เดือนหลังจากเริ่มดำเนินการโครงการ สามารถตรวจคัดกรองทารกอย่างน้อย ร้อยละ 95 ของทารกแรกเกิดทั้งหมด ก่อนกลับบ้านหรือภายในอายุไม่เกิน 1 เดือนแม้ว่าทารกจะอยู่โรงพยาบาลเพียง 24 ชม. หรือน้อยกว่า
  2. ภายใน 1 ปี หลังจากเริ่มดำเนินการโครงการ การส่งต่อสำหรับการประเมินทางด้านการได้ยินและการแพทย์ ทั้งระบบผู้ป่วยใน และผู้ป่วยนอกจะต้องไม่เกินร้อยละ 4 ของทารกที่ตรวจ
  3. หน่วยงานที่จะติดตามให้ผู้ปกครองนำเด็กทารกกลับมาตรวจซ้ำตามที่ได้นัดหมาย จะต้องมีความพยายามให้กลับมาตรวจให้ได้ ร้อยละ 95 ของทารกที่ผลการตรวจคัดกรอง “ไม่ผ่าน”

ดัชนีบ่งชี้คุณภาพร่วมสำหรับโครงการตรวจวินิจฉัยความผิดปกติด้านการได้ยิน และให้การรักษาอย่างทันท่วงที (Early Hearing Detection & Intervention – EHDI)

  1. ร้อยละของทารกที่คลอดในร.พ. ได้รับการตรวจคัดกรอง ก่อนกลับบ้าน
  2. ร้อยละทารกที่คลอดนอกร.พ. และได้รับการตรวจคัดกรองก่อนอายุ 1 เดือน
  3. ร้อยละของทารกที่คลอดในร.พ. ได้รับการตรวจคัดกรองก่อนกลับบ้านที่ผลการตรวจ “ไม่ผ่าน”
  4. ร้อยละของทารกที่คลอดในร.พ. ได้รับการตรวจคัดกรองก่อนกลับบ้าน ที่ผลการตรวจ “ไม่ผ่าน” และกลับมาตรวจซ้ำ แบบผู้ป่วยนอก
  5. ร้อยละของทารกที่คลอดในร.พ. และนอกร.พ. ได้รับการตรวจคัดกรองการได้ยิน ที่ผลการตรวจ “ไม่ผ่าน” ซึ่งถูกส่งตัวเพื่อรับการตรวจประเมินด้านการได้ยิน หรือด้านการแพทย์
  6. ร้อยละของครอบครัวที่ปฎิเสธการตรวจคัดกรองการได้ยินทารกที่คลอดในร.พ.ก่อนกลับบ้าน

ในการดำเนินงานจะต้องมีการตรวจสอบคุณภาพของการดำเนินงานเป็นรายเดือน ให้ได้เป้าหมายตามที่ได้ตั้งใจไว้ การตรวจเช็คบ่อยจะทำให้ทราบถึงข้อบกพร่อง จุดที่ต้องพัฒนาของกระบวนการในการดำเนินโครงการ การปรึกษาหารือ และให้ความรู้แก่ทีมงานจะเป็นแนวทางให้นโยบายที่ตั้งไว้สัมฤทธิ์ผลได้

 

Tags

No responses yet

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *